ปตท. เผยผลการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 19 – 23 ก.ย. 65 และแนวโน้ม 26 – 30 ก.ย. 65 โดยตลาดน้ำมันสำเร็จรูปเบรนท์ (ICE Brent) ราคา 89.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล ปรับราคาลดลง -2.88 ตลาดน้ำมันสำเร็จรูปของ เวสท์เท็กซัสฯ (NYMEX WTI) ราคา 82.97 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล ปรับราคาลดลง -3.79 เหรียฐสหรัฐฯ ตลาดน้ำมันสำเร็จรูปดูไบ (Dubai) ราคา 91.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล ปรับราคาลดลง -1.71 เหรียญ สหรัฐฯ ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปซื้อซื้อขายล่วงหน้าประเทศสิงคโปร์ ราคาเบนซินออกเทน 95 ปรับราคาลดลง -6.81 เหรียญ สหรัฐฯ มาเป็นราคา 94.65 เหรียญ สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดีเซลราคาปรับราคาลดลง -5.44 เหรียญ สหรัฐฯ มาเป็นราคา 123.67 เหรียญสหรัฐฯ
ในสัปดาห์ล่าสุด ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบอ้างอิงทุกชนิด ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า กว่า 1-3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยในปลายสัปดาห์ปิดตลาดลดลง 5-6% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน หลังธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ล่าสุดดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) เพิ่มขึ้น 1.67% ปิดตลาดที่ 113.02 จุด สร้างความวิตกว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันชะลอตัว
CME Group รายงานแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จากมุมมองของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) 19 ราย คาดว่าอัตราดอกเบี้ย ในช่วงปลายปี 2565 จะเพิ่มสู่ระดับ 4.25-4.50% บ่งชี้การขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง รวมกัน 1.25% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. และ13-14 ธ.ค. 65
อย่างไรก็ตามอุปทานน้ำมันโลกมีแนวโน้มตึงตัว โดย CEO ของ Abu Dhabi National Oil Co. (ADNOC) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระบุว่ากำลังการผลิตน้ำมันสำรอง (Spare Capacity) ในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ หากเกิด Supply Disruption อาจทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มอย่างรวดเร็ว มีเพียงซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้การลดการลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
- 21 ก.ย.65 ที่ประชุม FOMC ของสหรัฐฯ มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.75% อยู่ที่ระดับ 3.0-3.25% สูงสุดตั้งแต่ปี 2551
- 22 ก.ย. 65 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของอังกฤษ (Monetary Policy Committee: MPC) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% อยู่ที่ 2.25% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่ม 0.75% อยู่ที่ 2.5% แต่ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England: BoE) แถลงยืนยันว่า MPC จะตอบสนอง (ต่ออัตราเงินเฟ้อ) อย่างเต็มกำลัง ตามความจำเป็น แม้อาจจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะถดถอย
- Petroleum Planning and Analysis Cell (PPAC) ของอินเดียรายงานปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบ ในเดือน ส.ค. 65 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 2.79 ล้านตัน อยู่ที่ 17.55 ล้านตัน (4.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ต่ำสุดในรอบ 10 เดือน เนื่องจากฤดูมรสุมกดดันความต้องการใช้น้ำมันในภาคอุตสาหกรรม การเดินทาง และการชลประทาน
- กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ มีแผนระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณ 10 ล้านบาร์เรล ในเดือน พ.ย.65 เป็นการขยายเวลาจากแผนเดิมที่จะระบายน้ำมันจาก SPR ปริมาณ 180 ล้านบาร์เรล ในช่วงเดือน เม.ย.- ต.ค.65 ทั้งนี้ สหรัฐฯ ระบายน้ำมันจาก SPR แล้ว 155 ล้านบาร์เรล
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
- สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเพิ่มความตึงเครียด หลังประธานาธิบดีรัสเซีย Vladimir Putin ประกาศเคลื่อนพล โดยเรียกทหารกองหนุนรัสเซียจำนวน 300,000 นาย ไปยังยูเครน พร้อมระบุจะผนวกดินแดนที่ยึดครองได้จากยูเครนมาเป็นของรัสเซียทั้งหมด และจะใช้ “ทุกวิถีทาง” เพื่อปกป้องรัสเซียจากชาติตะวันตก ถือเป็นการยกระดับการทำสงครามครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน เมื่อ 24 ก.พ.65