31.9 C
Bangkok
Wednesday, January 15, 2025
musubishi900x192px_2024
Honda_900x192px 2024
มอเตอร์ไซค์​ honda
AD Banner_900x180
FORD900x192px_1
Mitsubishi_900x192px_2
previous arrow
next arrow

“ลุมพินี วิสดอม” ชี้ 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยปี 2565

ลุมพินี วิสดอม” ชี้ ความเป็นส่วนตัว-สุขภาพ-เทคโนโลยี เป็น 3 Mega Trends ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2565 ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟสไตล์และพฤติกรรมการอยู่อาศัยการทำงานของคนรุ่นใหม่ เพื่อการอยู่ร่วมกับไวรัสโควิด 19

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยและงานบริการในปี 2565 ว่า จากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตั้งแต่ปี 2563-ปัจจุบัน ทำให้พฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปโดยให้ความสำคัญกับสุขภาพและสุขอนามัยในการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น มีความต้องการพื้นที่ในการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และตอบรับกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนให้กับอยู่อาศัยทั้งบ้านพักอาศัยและอาคารชุดพักอาศัยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น และเป็นแนวโน้มสำหรับการพัฒนาที่ยู่อาศัยในปี 2565 ที่การออกแบบต้องให้ความสำคัญใน 3 Mega Trends ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และแก้ปัญหา (Pain Point) ในการอยู่อาศัยของผู้ซื้อในปัจจุบันและอนาคต ได้แก่

* Well-Being การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขอนามัยที่ดี

* Smart Living รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปโดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างสมดุล

* Virtual-Connecting การพัฒนาทางเทคโนโลยี นำไปสู่พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตปกติในบริบทใหม่

Well-Being : การออกแบบที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขอนามัยที่ดี

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผนวกเข้ากับภาวะโลกร้อน ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทำให้ผู้คนตระหนักว่าบ้าน อาคารและเมืองมีส่วนสำคัญในการจัดการเชื้อโรค และมีผลต่อสุขอนามัยอย่างมาก เป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิตและเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพทางกายและจิตใจ แต่เพียงแค่การออกแบบอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

ปัจจุบันมาตรฐานการออกแบบอาคารที่ส่งเสริมสุขภาวะของคน จึงเป็นมาตรฐานใหม่ในการออกแบบที่อยู่อาศัย โดยคำนึงถึงสุขอนามัยที่ดี โดยปัจจุบันมีการนำมาตรฐานการออกแบบที่เรียกว่า WELL Building Standard จาก International WELL Building Institute (IWBI) ประกอบด้วยแนวทางการออกแบบอาคาร 10 ด้านที่ต้องคำนึงถึงเพื่อสุขภาพของผู้ใช้อาคาร ประกอบด้วย อากาศ น้ำ โภชนาการ แสงสว่าง การเคลื่อนไหว สภาวะน่าสบาย เสียง วัสดุอาคาร จิตใจ และชุมชน

แนวทางข้างต้นสามารถนำมาปรับใช้กับการออกแบบบ้านและอาคารคอนโดมิเนียมได้ เช่น

* การออกแบบช่องเปิด เพื่อการระบายอากาศที่ดีและเปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเหมาะสม

* มีบริเวณสำหรับปลูกพืชผักสวนครัวเล็กๆ เพื่อเพิ่มการกินผักและพื้นที่ปลูกต้นไม้ยังส่งเสริมสภาพจิตใจ

* ออกแบบทางเดินหรือบันไดให้น่าเดิน เพื่อส่งเสริมให้คนเคลื่อนไหวมากขึ้น

* ลดเสียงดังรบกวนจากภายนอกอาคารด้วยการปลูกต้นไม้ตามทิศทางของเสียง

* หรือแม้แต่การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบรับกับสรีระ เพื่อลดอาการปวดเมื่อย (Ergonomic) เป็นต้น

นอกจากที่พักที่มีการออกแบบที่เหมาะสมแล้ว บริการก็เป็นสิ่งเติมเต็มส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย เช่น  บริการดูแลสุขภาพคนในชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลใกล้บ้าน บริการตู้รับคืนขยะรีไซเคิลอัตโนมัติ  บริการจัดมุมต้นไม้ในพื้นที่พักอาศัย บริการทำความสะอาด อุปกรณ์เครื่องใช้ พ่นฆ่าเชื้อ กำจัดไรฝุ่น บริการนวดแผนไทยที่บ้าน แก้อาการออฟฟิศซินโดรมเป็นต้น

Smart-Living : รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปโดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างสมดุล

เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นโยบายการทำงานที่บ้านหรือกระจายศูนย์เป็นที่ดึงดูดคนทำงานมากขึ้น ก่อให้เกิดการตั้งคำถามของคนถึงการเดินทางไปทำงานที่เสียเวลามากเกิน จนถึงความจำเป็นที่ต้องอาศัยอยู่ในเมืองอย่างแออัด จนเกิดกระแส Rural Revival คือการที่ประชากรกลับไปใช้ชีวิตในพื้นที่ชานเมืองหรือชนบทมากขึ้น มองหาการใช้ชีวิตที่มีความแออัดน้อย นักวางผังเมืองเริ่มให้ความสนใจกับแนวคิด “เมือง 15 นาที” คือ การปรับเมืองเล็กๆ ให้เป็นเหมือนกับหมู่บ้านหรือย่านที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบรับกับไลฟ์สไตล์คนในพื้นที่ และเข้าถึงได้โดยง่ายแม้แต่การเดินหรือจักรยาน

การออกแบบที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์จึงควรตอบรับกับแนวคิด “เมือง 15 นาที” นี้มากขึ้น เช่น การตั้งโครงการอยู่นอกเมืองแต่ใกล้กับแหล่งชุมชน มีพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับชุมชนมากขึ้น รวมไปถึงการจัดเตรียมพื้นที่ที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับระหว่างกลุ่มผู้อาศัย และมีพื้นที่สาธารณูปโภคที่ครบครัน

นอกจากในด้านเมืองแล้ว เมื่อพิจารณาถึงพื้นที่พักอาศัยเช่นห้องชุดหรือบ้าน ในวันที่ทุกคนถูกจำกัดให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านหรือห้องพักอาศัย ต้องทำงานที่บ้าน และไม่สามารถออกไปใช้พื้นที่สาธารณะได้ ทำให้คนกลับมาสนใจพื้นที่บ้านของตัวเองมากขึ้น เมื่อบ้านยังคงเป็นศูนย์กลางหลักในการดำเนินชีวิต ผู้บริโภคต่างมองว่านอกบ้านได้กลายเป็นส่วนต่อขยายของพื้นที่ภายในบ้านมากขึ้น จึงเกิดการใช้งานใหม่ๆ ตั้งแต่มุมพักผ่อนไปจนถึงห้องนั่งเล่น บาร์กลางแจ้ง ดังนั้น การออกแบบที่พักอาศัยที่มีพื้นที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการใช้งานที่มากไปกว่าแค่การนอนและพักผ่อน ให้เป็นไปตามไลฟ์สไตล์ เช่น สามารถปรับเป็นสตูดิโอถ่ายภาพ จัดสวน เก็บของสะสม หรือทำงานอดิเรกต่างๆ

จากผลสำรวจของ “ลุมพินี วิสดอม” ข้างต้น ในด้านความเป็นส่วนตัวแล้วนั้น ตอบรับกับแนวคิด Rural Revival อย่างมาก โดยผู้อาศัยต้องการโครงการที่มีจำนวนห้องชุดต่อชั้นไม่มาก ไม่พลุกพล่าน ลดความแออัด มีความต้องการพื้นที่ Co-Living Space สำหรับทำงานในพื้นที่ส่วนกลางโดยสามารถเว้นระยะห่างกันเพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว อีกทั้งในยุคสมัยที่เวลาถูกใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถจัดการงานและภารกิจส่วนตัวได้ บริการที่ส่งตรงถึงบ้าน Service Anytime Anywhere เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เสริมการจัดการ ทั้งหน้าที่การงาน หน้าที่สำหรับครอบครัว และหน้าที่ส่วนตัว ให้สะดวกและลงตัวยิ่งขึ้น  เช่น บริการช่วยดูแลเด็ก บริการดูแลผู้สูงอายุรายวัน/รายชั่วโมง บริการพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ บริการล้างรถถึงบ้าน รวมไปถึงบริการอื่นๆ ที่สอดคล้องกับเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพ ลดการเดินทางและการสัมผัส เช่น บริการจัดส่งสินค้าถึงห้องโดยเฉพาะสินค้าใช้สอยประจำวัน หรือสินค้ามีน้ำหนัก น้ำดื่ม ข้าวสาร น้ำยาซักล้างต่าง ๆ เป็นต้น

Virtual-Connecting : การพัฒนาทางเทคโนโลยี นำไปสู่พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตปกติในบริบทใหม่

ในปี 2565 นิตยสาร Forbes ได้คาดการณ์ว่าจะเกิด 10 Digital Transformation Trends ไว้ เช่น นโยบาย Work From Home หรือ Work Mega Shift ทำให้เกิดการพัฒนาและใช้งานที่เกี่ยวกับ Smart Work From Home มากยิ่งขึ้น โดย Forbes กล่าวว่าเราอาจจะได้เห็นการอพยพของประชากรจากเมืองหลวงสู่ชนบท  ส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านเครือข่ายและการเชื่อมต่อในพื้นที่ชนบทเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น

                Forbes ยังได้คาดการณ์เรื่อง Smart Cars and Cities คือ ไม่ใช่เพียงรถพลังงานไฟฟ้าจะมีเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด แต่เมืองจะต้องพัฒนาโครงสร้างเพื่อตอบรับ Smart Cars นี้ด้วย เช่น จุดชาร์จรถไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น การเชื่อมต่อระหว่างรถกับเมืองด้วย IOT  จนถึง Privacy คือ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยีรวมถึงกระแส Metaverse อีกด้วย ซึ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้มีความเคลื่อนไหวโดย MQDC ได้เข้าร่วมกับโปรเจค Translucia  เป็น Property Developer  รายแรกที่จะเข้าไปพัฒนาเมืองในโลกสเมือนจริงแห่งนี้ จึงเป็นที่น่าจับตามองของวงการอสังหาริมทรัพย์ต่อไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีเรื่อง Power of AI  ที่จะมีส่วนในชีวิตประจำวันของคนเป็นอย่างมาก เช่น Google Home ที่ผู้ใช้งานมีความเห็นว่าสามารถควบคุมแอปพลิเคชันและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ยังคงมีสืบเนื่องมาตลอดในการออกแบบพื้นที่พักอาศัย

จากข้อมูลการสำรวจความต้องการของกลุ่มคนทำงานที่มีความคาดหวังเกี่ยวกับงานบริการในอาคารชุด “ลุมพีนี วิสดอม” พบว่า ผู้อาศัยได้มีความต้องการที่ตอบรับกับกระแสด้านเทคโนโลยี โดยยังมุ่งเน้นในการใช้เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวก เช่น IOT เป็นที่ต้องการใช้งานมากขึ้น และด้านความปลอดภัย เช่น การใช้รหัสผ่านแทนกุญแจ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ทางเข้าอาคารไปจนถึงห้องชุด รวมถึงสนใจเทคโนโลยีที่ช่วยดูแลควบคุมงานระบบอาคารเพื่อลดการจัดจ้างบุคคลากร และควบคุมการใช้พลังงานที่ช่วยประหยัดค่าส่วนกลางมากขึ้น รวมถึงการเสริมการบริการที่สามารถใช้ผ่าน Platform Online ได้ เช่น บริการพื้นฐานที่มีค่าใช้จ่าย/ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน เช่น การจ่ายบิล ตรวจเช็คพัสดุ จองห้องส่วนกลาง โดยการการให้บริการที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่าเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขแบบเร่งด่วน คือ การพูดคุยโต้ตอบทางโทรศัพท์ / Line OA เช่น การแจ้งซ่อม การสอบถามปัญหาต่างๆ ส่วนการรับข่าวสารแจ้งเตือนต่างๆ ลูกค้าสามารถเลือกได้จากการรับการแจ้งเตือนผ่านข้อความอัตโนมัติ และตรวจเช็คปัญหาด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน

“ปี 2565 เป็นปีที่จะเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาที่อยู่อาศัย และงานบริการ ที่ให้ความสำคัญกับ 3 Mega Trends ในเรื่องของสุขอนามัย ความสมดุลในการออกแบบที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิต และเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนในการยกระดับการอยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

Related Articles

Stay Connected

269FansLike
2,760SubscribersSubscribe
- Advertisement -spot_img

Latest Articles