ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ตั้งแต่ไฟป่า แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไปจนถึงพายุ ทุกเหตุการณ์ล้วนสร้างความเสียหายมหาศาลต่อชีวิต ทรัพย์สินและเศรษฐกิจ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพยากรณ์ภัยพิบัติ การแจ้งเตือนล่วงหน้า และการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน
แต่คำถามที่สำคัญคือ AI พัฒนาไปไกลแค่ไหนแล้วในการช่วยเหลือมนุษย์รับมือกับภัยพิบัติ และยังมีข้อจำกัดอะไรที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นางสาวนิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท LIV-24 ผู้นำด้าน Smart Tech Solutions เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน AI ได้ถูกนำมาใช้บ้างแล้วในสามส่วนหลักของการจัดการภัยพิบัติ ได้แก่ การพยากรณ์ การแจ้งเตือน รวมไปถึงการกู้ภัยและบริหารจัดการหลังภัยพิบัติ เทคโนโลยีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เหนือกว่ามนุษย์ในบางกรณี โดยเฉพาะในเรื่องของการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์เชิงลึก
1. การพยากรณ์และเฝ้าระวัง
AI ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ภัยพิบัติได้อย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น ระบบ AI สำหรับการตรวจจับไฟป่าสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ความร้อนและสภาพอากาศ เพื่อระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงก่อนที่ไฟจะลุกลาม นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ในการวิเคราะห์แรงสั่นสะเทือนใต้พื้นดินเพื่อคาดการณ์แนวโน้มของแผ่นดินไหว แม้ว่าจะยังไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าเป็นวันหรือชั่วโมงได้ แต่สามารถตรวจจับสัญญาณล่วงหน้าหลายวินาที ซึ่งช่วยให้ประชาชนมีเวลาหลบภัย
สำหรับปัญหาน้ำท่วม AI ใช้ข้อมูลจากเรดาร์อากาศ ระดับน้ำในแม่น้ำ และปริมาณน้ำฝนในการสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์ว่าพื้นที่ใดจะได้รับผลกระทบและเมื่อใด ระบบเหล่านี้เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศที่เผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง เช่น อินเดียและบังกลาเทศ
2. การแจ้งเตือนภัยพิบัติ
ระบบ AI ถูกนำมาใช้ในระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติขั้นสูง เช่น ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นที่สามารถส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าได้ 5-10 วินาทีก่อนเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง ซึ่งช่วยลดความเสียหายต่ออาคารและโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ Google ได้พัฒนา AI Flood Forecasting ซึ่งสามารถแจ้งเตือนน้ำท่วมล่วงหน้าผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือได้ดีกว่าเดิม
3. การกู้ภัยและบริหารจัดการหลังภัยพิบัติ
AI และโดรนที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติถูกนำมาใช้ในการสำรวจพื้นที่เสียหายจากแผ่นดินไหวหรือพายุ ระบบเหล่านี้สามารถระบุจุดที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดและช่วยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ในการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมหลังเกิดภัยพิบัติ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และวางแผนฟื้นฟู
ข้อจำกัดของ AI ในการจัดการภัยพิบัติ
แม้ว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่ต้องได้รับการพัฒนา
1. ข้อจำกัดด้านข้อมูล
AI ทำงานได้ดีเมื่อมีข้อมูลจำนวนมากและมีคุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม สำหรับภัยพิบัติบางประเภท เช่น แผ่นดินไหวหรือสึนามิ ข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมพอที่จะให้ AI ทำนายเหตุการณ์ได้แม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวยังไม่ครอบคลุมทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด
2. ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน
แม้ว่า AI จะช่วยในการแจ้งเตือนภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในหลายพื้นที่ที่เผชิญกับภัยพิบัติบ่อยครั้ง เช่น ประเทศกำลังพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบเซ็นเซอร์อาจยังไม่พร้อมรองรับเทคโนโลยีเหล่านี้ นอกจากนี้ แม้ว่าระบบแจ้งเตือน AI จะทำงานได้ดีในเมืองใหญ่ แต่ในพื้นที่ห่างไกล ประชาชนอาจไม่มีอุปกรณ์ที่สามารถรับการแจ้งเตือนได้
3. ต้นทุนในการพัฒนาและนำไปใช้
เทคโนโลยี AI และเซ็นเซอร์ที่เกี่ยวข้องมีต้นทุนสูง ทำให้หลายประเทศที่มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ยาก แม้ว่าจะมีโครงการพัฒนา AI เพื่อสาธารณประโยชน์จากภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศ แต่การขยายขีดความสามารถของ AI ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคยังเป็นความท้าทาย
4. ความน่าเชื่อถือของ AI
แม้ว่า AI จะสามารถช่วยแจ้งเตือนภัยพิบัติได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจยังคงต้องอาศัยมนุษย์ ในบางกรณี หาก AI ทำนายผิดพลาด เช่น แจ้งเตือนน้ำท่วมที่ไม่เกิดขึ้นจริง อาจทำให้เกิดความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
อนาคตของ AI ในการรับมือภัยพิบัติ
แม้ว่า AI จะยังมีข้อจำกัด แต่แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่า สามารถเข้ามาเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น เช่น
– การใช้ AI ร่วมกับ Internet of Things (IoT) เพื่อเชื่อมโยงเซ็นเซอร์อัจฉริยะสำหรับการติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
– การใช้ AI ร่วมกับ 5G เพื่อเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูล ทำให้ระบบแจ้งเตือนทำงานได้เร็วขึ้น
– การนำ AI มาผสานกับ Quantum Computing เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลภัยพิบัติที่ซับซ้อนมากขึ้น
แม้ว่า AI จะยังไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติได้อย่างสมบูรณ์ 100% แต่ความสามารถในการช่วยให้มนุษย์รับมือได้ดีขึ้นและลดความสูญเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้กำลังก้าวไปสู่อนาคตที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวและช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุด แม้ AI จะช่วยยกระดับการคาดการณ์และจัดการภัยพิบัติ แต่การพึ่งพาประสบการณ์และการตัดสินใจที่สำคัญของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าง LIV-24 เอง เรามุ่งพัฒนา ‘เทคโนโลยีที่มีหัวใจ’ คือการผสานเอไอ กับ การทำงานของมนุษย์เข้าด้วยกัน ในแบบที่ไม่มีใครแทนที่ใคร แต่เข้ามาช่วยส่งเสริมให้ประสิทธิภาพในการทำงานดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การรับมือกับภัยพิบัติอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ เอกชน หรือชุมชน เพื่อร่วมกันวางรากฐานระบบที่พร้อมรับมือกับความท้าทายแห่งอนาคตอย่างแท้จริง และ AI ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพในหลายมิติ