เซี่ยงไฮ้ : เนต้า ออโต้ (Neta Auto) สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน คืบหน้าอย่างเป็นระบบในปี 2565 โดยได้มีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในแง่การทำแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ ยอดขาย เทคโนโลยี ช่องทาง และการขยายธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อเดินหน้าสร้างสถิติและความก้าวหน้าใหม่ ๆ ซึ่ง ณ วันที่ 1 มกราคม 2566 เนต้า ออโต้ ได้ประกาศข้อมูลยอดขายประจำปี 2565 โดยทางแบรนด์ขายรถได้ 152,073 คันในปี 2565 เพิ่มขึ้น 118% เทียบรายปี (YoY) ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 29 ติดต่อกันเมื่อเทียบเป็นรายปี
นอกจากนี้ เนต้า ออโต้ ยังก้าวขึ้นเป็นสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนรายแรกที่ขายรถทะลุหลัก 150,000 คันในปีเดียว และในจำนวนนี้ส่งมอบให้ลูกค้าในต่างประเทศไป 3,456 คัน และนับจนถึงปลายเดือนธันวาคม 2565 เนต้า ออโต้ ส่งมอบรถรวมกันทั้งสิ้น 248,050 คัน โดยใช้เวลาเพียง 8 เดือนในการขายรถ 100,000 คันเป็นครั้งที่สอง เร็วกว่า 100,000 คันแรกถึงห้าเท่าตัว สร้างสถิติใหม่ในวงการสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน
ทั้งนี้ ยอดขายในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 61% ของยอดขายทั้งหมดที่เนต้า ออโต้ กวาดมาได้นับตั้งแต่ก่อตั้ง สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์กำลังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่
ในปี 2565 เนต้า ออโต้ ได้ส่งมอบรถรุ่นเนต้า ยู (Neta U) ไป 51,021 คัน และเนต้า วี (Neta V) รวม 98,847 คัน เพิ่มขึ้น 155% และ 99% เทียบรายปีตามลำดับ ซึ่งส่งสัญญาณว่า แบรนด์เนต้า ออโต้ กำลังมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากในตลาดรถเอสยูวีไฟฟ้าล้วน ขณะที่รถรุ่นเนต้า เอส (Neta S) มียอดส่งมอบ 2,205 คันใน 128 เมืองทั่วประเทศจีน นับตั้งแต่ที่เริ่มส่งมอบรถสปอร์ตรุ่นนี้เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2565
เนต้า ออโต้ เร่งขยายธุรกิจก้าวไกลทั่วโลก
เนต้า ออโต้ งัดจุดแข็งในการเป็นผู้บุกเบิกและข้อได้เปรียบในภาคยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของจีนมาใช้ โดยได้เปิดตัวกลยุทธ์ “ลุยโลก” ในปี 2565 ทางแบรนด์เลือกเส้นทางที่เหมาะสมในการตีตลาดโลก โดยอาศัยจุดแข็งของตนเองในเรื่องเทคโนโลยีและระบบไฟฟ้า รวมถึงสถานการณ์ในตลาดท้องถิ่น เนต้า ออโต้ ได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางกลยุทธ์กับบริษัทชั้นนำหลายแห่ง และได้ยกระดับความพยายามเพื่อตีตลาดอาเซียน
ขณะเดียวกันก็รุกพัฒนาตลาดสหภาพยุโรป (EU) ด้วย นอกจากนี้ เนต้า ออโต้ ยังได้ขยายธุรกิจในประเทศแถบตะวันออกกลางบางประเทศ รวมถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ตั้งบริษัทสาขาในไทยและหน่วยธุรกิจในยุโรป ทั้งยังเปิดตัวรถรุ่นเนต้า วี และเนต้า ยู เวอร์ชันตลาดต่างประเทศรวม 3 แบบ โดยได้เข้ามาทำธุรกิจในอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลางอย่างเต็มตัว