“ตั้งแต่เริ่มแรก Rolls-Royce ดึงดูดใจผู้รักอิสระ มีความคิดสร้างสรรค์และผู้ที่ท้าทายขนบธรรมเนียมที่มีอยู่ ผู้ก่อตั้งทั้งสองของเราต่างปฏิเสธที่จะถูกพันธนาการด้วยบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคมในช่วงต้นยุคศตวรรษที่ 20 แม้ว่าทั้งสองจะมีภูมิหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม เพราะความกล้าหาญ วิสัยทัศน์ และความตั้งใจของพวกเขาที่ต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดทำให้พวกเขาเป็นอย่างที่เป็น และบริษัทของเราเป็นเช่นทุกวันนี้
ยนตรกรรมแห่งประวัติศาสตร์อันยอดเยี่ยมเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่เหมาะสมอย่างยิ่งของจิตวิญญาณที่ขบถที่ซึมซาบอยู่ในเรื่องราวของแบรนด์ของเรา และยังคงดำเนินอยู่ในยุคปัจจุบันด้วยยนตรกรรม Black Badge ของเรา” Torsten Müller-Ötvös, Chief Executive Officer, Rolls-Royce Motor Cars
ความปรารถนาในการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ จึงเป็นหนึ่งเหตุผลหลักที่ลูกค้ามีความสนใจในโรลส์-รอยซ์ที่มอบโอกาสที่ไม่มีใครเทียบได้ในการก้าวข้ามขีดจำกัด กำหนดนิยามของความเป็นไปได้ใหม่ และท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติที่มีอยู่
ยนตรกรรมในตระกูล Black Badge ของเรารวบรวมจิตวิญญาณนี้ได้อย่างสุดขั้ว และวันนี้ เรามองที่การเป็นปัจเจกนิยม การฉีกกฎเกณฑ์ และแม้แต่การกบฏที่สมบูรณ์แบบได้แผ่ซ่านไปทั่วประวัติศาสตร์ของแบรนด์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งและยังคงบอกเล่าถึงการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของโรลส์-รอยซ์ที่มอบให้แก่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่
แม้ว่าทั้งสองจะมีภูมิหลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตามผู้ก่อตั้งบริษัททั้งสองท่านของเราต่างประสบความสำเร็จในการท้าทายบรรทัดฐาน และธรรมเนียมปฏิบัติที่หากไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจถูกพันธนาการไว้กับความธรรมดาโดยไม่คาดคิด
Henry Royce เอาชนะความยากจน ขาดแคลนและไม่ได้รับการศึกษาในระบบจนได้กลายเป็นวิศวกรระดับโลก ผู้สร้างสรรค์ ‘ยนตรกรรมที่ดีที่สุดในโลก’ และในที่สุดได้รับการยกย่องในความสำเร็จของเขา ส่วน The Hon. Charles Stewart Rolls ผู้เกิดเป็นชนชั้นสูงได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขาสามารถเลือกใช้ชีวิตที่สบาย ไม่ทำงานทำการ และได้รับสิทธิพิเศษมากมายแต่กลับเลือกใช้ชีวิตลำบาก คลุกฝุ่น และบ่อยครั้งที่เสี่ยงอันตรายจากการแข่งรถและการบินในยุคเริ่มแรกจนได้กลายเป็นผู้นำการบุกเบิกของทั้งสองสาขา
วันนี้ เราเรียกพวกเขาว่า ‘Disruptors’ (คนหัวก้าวหน้า) คนที่ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ ผู้เปี่ยมด้วยจินตนาการ และผู้ที่ต้องการล้มล้างสิ่งเดิม ๆ ผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกด้วยการทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครฝัน หรือกล้าที่จะลองทำมาก่อน จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์ได้พิสูจน์ให้เห็นมาโดยตลอดว่าสามารถดึงดูดผู้ที่มีความขบถอยู่ในตัวเอง
ยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ตระกูล Black Badge เปิดตัวในปีพ.ศ. 2559 เป็นการแสดงออกขั้นสุดถึงจิตวิญญาณแห่งความเป็นปัจเจกนิยม การแสดงออกถึงตัวตน ความคิดสร้างสรรค์ และการฉีกกฎเกณฑ์ และในขณะที่ลูกค้ามีตัวเลือกของสีตัวถังภายนอกแบบไม่จำกัด แต่มีสีเดียวที่เหนือสีอื่นใดที่ยังคงสร้างความน่าหลงใหลได้อย่างสุดพิเศษและมีพลังแห่งความเย้ายวนใจได้อย่างต่อเนื่องเมื่อถูกนำมาใช้กับยนตรกรรมของเราเช่นเดียวกับเรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ นั่นก็คือ สีดำ
สีดำมีความเกี่ยวข้องกับพลัง ความแข็งแกร่ง และอำนาจมาอย่างช้านาน เป็นสีที่เข้มข้นและมีตัวตน อีกทั้ง สีดำยังบ่งบอกถึงความสง่างามและความมั่นใจ
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีตัวอย่างผลงานที่โดดเด่นมากมายของยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์บีสโป๊กที่มีตัวถังสีดำ ตัวอย่างของยนตรกรรมแต่ละคันต่อไปนี้มีอายุกว่า 30 ปีได้ครอบครองพื้นที่พิเศษที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ สะท้อนถึงการที่เจ้าของใช้ธีมสีดำล้วนไปในทิศทางที่ไม่เหมือนใคร และเป็นที่น่าจดจำ
ปีพ.ศ. 2476 – Phantom II Continental (94MY)
ในปีพ.ศ. 2473 Ivan Evernden นักออกแบบได้รับคำขอส่วนตัวจาก Henry Royce ให้ออกแบบยนตรกรรมทดลอง Phantom II Continental ภายใต้รหัส 26EX ซึ่งออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับการขับรถท่องเที่ยวทางไกลทั่วทวีป โดยมีแชสซีสั้นและเป็นรถยนต์สี่ที่นั่งแบบประชิดตัว พร้อมกับล้ออะไหล่ 2 ล้อติดตั้งในแนวตั้งด้านหลังห้องเก็บสัมภาระเพื่อการกระจายน้ำหนักให้สมดุลที่สุด ตัวถังประกอบโดย Barker & Co. บนซับเฟรมที่ถูกออกแบบเพื่อรับมือกับความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและแรงเบรกอันทรงพลัง
ในการขับครั้งแรก Ivan Evernden และ Don Carlos de Salamanca ขับรถไปร่วมงาน Concours d’Elegance ที่เมืองบิอาริตซ์ ประเทศฝรั่งเศสซึ่งได้รับรางวัล Grand Prix d’Honneur หลังจากชัยชนะครั้งนั้น โรลส์-รอยซ์ตัดสินใจที่จะเปิดตัวซีรี่ส์ของยนตรกรรมรุ่นนี้ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกันและขนาดตัวถังทั้งหมดเหมือนของ 26EX มอบโอกาสให้ผู้สร้างสรรค์ตัวถังและเจ้าของยนตรกรรมสามารถปรับการออกแบบให้เข้ากับรสนิยมส่วนบุคคล
ยนตรกรรมคันแรก 94MY ผลิตขึ้นในปีพ.ศ. 2476 สำหรับ Mr. Samuel Coxhill โดยตัวถังมีลักษณะที่เป็นที่รู้จักในรูปแบบ ‘Owen Fixed Head Coupé’ เป็นความชำนาญของ Gurney Nutting บริษัทผู้ผลิตตัวถังรถยนต์ในกรุงลอนดอน ทั้งนี้ เบาะที่นั่งด้านหน้าแบบ Bucket Seats ปรับเอนได้ ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าคู่ และ
ไฟเลี้ยวแบบฝังด้านหลังกระจกมองข้างล้วนเป็นสิ่งที่ฉีกแนวของยุคนั้น และสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อให้การขับรถทางไกลทัวร์ทวีปมีความผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
Ivan Evernden นักออกแบบกล่าวว่า “มันเป็นเกณฑ์ของรถยนต์ที่ดีคันหนึ่งที่คน ๆ หนึ่งสามารถขับมันได้ตลอดทั้งวัน และเมื่อหมดวันลงเขายังคงรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายพอที่จะเพลิดเพลินไปกับการรับประทานอาหารค่ำ”
ในช่วงเวลานั้น ตัวถังส่วนใหญ่ของยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์จะถูกแต่งแต้มด้วยสีดำ หรือเฉดสีออกน้ำตาลแดงหรือน้ำเงินที่เข้มจนเกือบดูเหมือนสีดำ ยนตรกรรม 94MY ได้รับคำสั่งผลิตให้เป็นสีดำ พร้อมกับ “หนังสีน้ำตาลพิเศษ ขลิบด้วยสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับพรมและเพดานห้องโดยสาร และงานไม้เป็นงานไม้วีเนียร์ขัดเงาอย่างดี”
หากมียนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ในช่วงทศวรรษ 1930 คันใดที่สามารถอ้างสิทธิ์การหลอมรวมจิตวิญญาณของยนตรกรรม Black Badge ในปัจจุบันไว้ได้ ยนตรกรรมคันนั้นก็คือคันนี้ เพราะมันคือการผสมผสานการมีสมรรถนะสูงเข้ากับความสบายระดับสุดยอดพร้อมด้วยการตกแต่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล
ปีพ.ศ. 2503 – Phantom V (5AT30)
Phantom V เปิดตัวในปีพ.ศ. 2502 เพื่อแทนที่ยนตรกรรม Silver Wraith ที่น่าเกรงขาม ด้วยเป็นรถที่มีขนาดใหญ่กว่ามากจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมีคนขับรถเป็นหลัก และตัวถังทั้งหมดมีองค์ประกอบการออกแบบแนวลีมูซีนที่น้อยมาก ยนตรกรรมส่วนใหญ่มาในสีดำ และถูกใช้สำหรับในโอกาสที่เป็นทางการ หรือสำหรับส่วนบุคคลโดยกลุ่มคนผู้มีอันจะกิน
5AT30 เป็นยนตรกรรมที่ได้รับการยกเว้น โดยเมื่อเดือนกันยายน ปีพ.ศ. 2503 ได้ถวายดยุคแห่งกลอสเตอร์ ผู้เป็นเจ้าของซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และสมเด็จพระราชินีแมรี และทรงเป็นพระปิตุลาในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ทั้งนี้ ตัวถังรถอ้างอิงจากงานออกแบบตัวถัง PV15 ของ James Young บริษัทผู้สร้างสรรค์ตัวถังรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่หรูหราที่สุดบนแชสซีของ Phantom V
แม้ว่าดยุคแห่งกลอสเตอร์ต้องปฏิบัติตามกฎและข้อปฏิบัติของราชวงศ์อย่างเคร่งครัด พระองค์ทรงมีความคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการใน Phantom V ของพระองค์ การออกจากบรรทัดฐานที่เป็นที่ยอมรับในสังคมที่เด่นชัดมากของท่านคือการผสมผสานการใช้สีดำด้านบนพื้นผิวแนวนอนและใช้สีดำเงาบนพื้นผิวระนาบแนวตั้ง
รายละเอียดบีสโป๊กอื่น ๆ รวมถึง ไฟแบล็คไลท์ขนาดเล็กกว่ามาตรฐานมาก ไฟตัดหมอกขนาดใหญ่ กระจกมองข้างที่ฝังในบานประตู บานเลื่อนสำหรับกระจกหลัง และไฟสปอร์ตไลท์คู่ Stephane Grebel อีกทั้ง ด้านหน้ารถโดดเด่นด้วยไฟหน้า Lucas R100 แทนที่ไฟหน้าปกติที่ติดตั้งสนิทเนียนไปกับตัวถัง
แม้ว่าสัญลักษณ์ Spirit of Ecstasy มากับยนตรกรรมแต่ไม่ได้ถูกติดตั้ง และถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์นกอินทรีขณะโผบินของดยุคแห่งกลอสเตอร์ และบางทีอาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่ตรงเลขแชสซี มีการบ่งบอกว่ายนตรกรรมคันนี้มาพร้อมกับ ‘ร่มหนึ่งคันอยู่ในช่องเก็บ’ ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในยนตรกรรม Rolls-Royce ยุคปัจจุบัน
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2508 ขณะที่ดยุคและดัชเชสแห่งกลอสเตอร์กำลังเสด็จกลับวังจากงานพิธีศพของเซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล รถเกิดเสียหลักลื่นไถลออกนอกถนนและลงไปในตลิ่งริมน้ำตื้น พลิกคว่ำกว่า 3 ตลบและหงายท้องล้อชี้ฟ้า ไม่มีผู้โดยสารท่านใดได้รับบาดเจ็บสาหัส และด้วยความยืดหยุ่นของตัวถังของ James Young ยนตรกรรม 5AT30 ได้รับการรังสรรค์ขึ้นใหม่และยังคงอยู่ในสภาพยอดเยี่ยมให้บริการแก่เจ้าของได้อีกนานหลายปี
ปีพ.ศ. 2508 – Phantom V (5VD73)
ในปีพ.ศ. 2507 วงดนตรี The Beatles ปล่อยผลงานภาพยนต์เพลง A Hard Day’s Night สู่สายตาชาวโลก ในเดือนธันวาคม John Lennon สั่งผลิตยนตรกรรม Rolls-Royce Phantom V กับ R. S. Mead ในเมือง เมเดนเฮดเพื่อเป็นของขวัญให้กับตนเอง รายละเอียดของรถเป็นไปตามที่มีคนคาดไว้ว่าต้องมีความเป็นตัวตนสูง โดยเขาต้องการให้ยนตรกรรมไม่เพียงมีสีดำเท่านั้น แต่ต้องเป็นสีดำทั่วทั้งคันทั้งภายในและภายนอก รวมถึงงานโลหะทั้งหมดที่ปกติจะตกแต่งขั้นตอนสุดท้ายด้วยการชุบโครเมี่ยมหรือเป็นสแตนเลสสตีล
ยนตรกรรมถูกสร้างสรรค์โดย Mulliner Park Ward มีสีตัวถังเป็นสีดำเงา รวมถึงกระทะล้อและกันชน เฉพาะกระจังหน้า Pantheon ที่เป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ Spirit of Ecstasy เท่านั้นที่ยังคงเป็นพื้นผิวชุบโครเมี่ยมแบบเดิมตามคำยืนกรานของแบรนด์
นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในรถยนต์คันแรก ๆ ในสหราชอาณาจักรที่ใช้กระจกแบบทึบแสง ที่ทำจากกระจก Triplex Deeplight สะท้อนแสงสีเข้ม มีความหนา 3/16 นิ้วสำหรับประตูด้านหลัง และ 3/4 นิ้วสำหรับกระจกหูช้าง กระจกโอเปร่าด้านหลัง และกระจกกั้นห้องโดยสาร เนื่องด้วยเหตุผลที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใคร ๆ คาดคิดด้วยเพราะความเป็นส่วนตัวเท่านั้น “คนชอบคิดว่าการใช้กระจกทึบเพื่อการปกปิด ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเช่นนั้นแต่ก็สำหรับยามที่คุณกลับบ้านดึกด้วย” John Lennon กล่าวขณะให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone ในปีพ.ศ. 2508 “ถ้าคุณกำลังกลับบ้านในตอนเช้า ภายในรถมันก็ยังมืดอยู่ คุณแค่ปิดหน้าต่างให้หมดแล้วคุณก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในคลับ”
การตกแต่งภายในโดดเด่นด้วยผ้าทอลายเส้นเบดฟอร์ดสีดำ และพรมไนลอนสีดำในส่วนห้องโดยสารด้านหลัง และหนังสีดำในส่วนห้องโดยสารด้านหน้า มีเสาอากาศไฟฟ้าสำหรับวิทยุและชุดโทรทัศน์ Perdio Portarma และชุดกระเป๋าเดินทางสีดำ 7 ใบ มีการบอกเล่าต่อกันมาว่าภายในรถยนต์ได้ติดตั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียง วิทยุโทรศัพท์ ตู้เย็น โต๊ะเขียนหนังสือ และแสงสีแดงที่ช่วยสร้างบรรยากาศ ซึ่งยังคงไม่ได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด ทว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มเติมเข้าไปภายหลังได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับเบาะหลังที่หลายคนพูดถึงว่าสามารถปรับให้เป็นเบาะนอนได้
แน่นอนว่าตัวเลือกที่โดดเด่นชัดเจน เปี่ยมด้วยจินตนาการและแปลกใหม่นั้นสอดคล้องกับสถานะของ John Lennon ได้อย่างครบถ้วนในฐานะหนึ่งในนักปฏิรูปวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคศตวรรษที่ 20 นอกเหนือจากการพลิกโฉมผลงานดนตรีที่ได้รับความนิยมตลอดกาลแล้ว เขายังมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในบุคคลกลุ่มแรก ๆ ที่ไม่ใช่นักกีฬาแต่สวมใส่รองเท้ากีฬาเป็นรองเท้านอกสนามกีฬา เช่นเดียวกับปรากฏการณ์แฟชั่นแนว Streetwear สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทั้งตามแคตวอล์กในงานแฟชั่นโชว์ และห้องประชุมผู้บริหารในยุคศตวรรษที่ 21 ในภาพถ่ายภาพหนึ่งของวงดนตรี The Beatles ที่ถ่ายขึ้นในปีพ.ศ. 2510 เป็นภาพที่ John Lennon กำลังใส่รองเท้าเทนนิสของ Adidas รุ่น Stan Smith ยังคงเป็นหนึ่งในแบบรองเท้ายอดนิยมมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษต่อมาจากที่รู้จักในฐานะ ‘แบรนด์ที่มีสามแถบ’
ต่อมา ยนตรกรรมคันนี้ได้ทำสีใหม่แบบพลิกโฉม คือมาในสีเหลืองสดใสตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ ลายเส้นคดเคี้ยวสไตล์ชาวยิปซี และสัญลักษณ์จักรราศี นับว่าเป็นยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั่วทั้งคันสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของเจ้าของ และแน่นอนว่าได้ก่อให้เกิดการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มคนบางกลุ่มในสังคมซึ่งบางทีนี่อาจเป็นการหลอมรวมจิตวิญญาณของ Black Badge ที่สมบูรณ์แบบ
จิตวิญญาณที่ลุกโชนไม่ดับสูญยังคงแสดงออกในรูปแบบใหม่และทรงพลังผ่านยนตรกรรม Rolls-Royce Black Badge ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง