ข้อตกลงยอมรับรวมผลการตรวจสอบรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Type Approval for Automotive Products-APMRA) ได้ลงนามครบทั้ง 10 ประเทศแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 และจะมีผลบังคับใช้เมื่อประเทศสมาชิกให้สัตยาบันครบทั้งหมด หรือเมื่อครบ 1 ปีนับจากวันที่ลงนาม แล้วแต่ว่ากรณีไหนจะถึงก่อน คาดว่าประมาณเดือนมกราคม 2565 จะครบทั้งหมด สำหรับประเทศไทยได้แจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการอาเซียน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ว่าไทยพร้อมจะปฏิบัติตามพันธกรณีของข้อตกลงนี้แล้ว
สถาบันยานยนต์ (สยย.) ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงนี้ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหน่วยตรวจสอบรับรอง หรือ Technical Service (TS) โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งถือว่าเป็น Designating Body (DB) และกรมการขนส่งทางบก เป็นหน่วยควบคุมกฎระเบียบหรือที่เรียกว่า Regulatory Authority (RA) ซึ่งการยอมรับร่วมตามข้อตกลง APMRA แบ่งเป็น 2 ระยะ
ระยะที่ 1 เป็นการยอมรับผลการทดสอบ (Test report) หรือใบรับรอง (Certificate) เพื่อใช้ในการอนุญาตให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยานยนต์ในประเทศสมาชิกอาเซียน ไม่ได้เป็นการยอมรับมาตรฐานของชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งหมดทุกผลิตภัณฑ์ของมาตรฐาน UNECE แต่ละประเทศสมาชิกได้มีการเลือกมาตรฐานออกมา 19 ผลิตภัณฑ์ ที่นำมาทำการพิจารณาการยอมรับผลการทดสอบร่วมกัน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้ เป็นเรื่องของชิ้นส่วนยานยนต์ อาทิ ที่นั่ง เข็มขัดนิรภัย กระจก มาตรวัดความเร็ว หรือการทดสอบเพื่อหามลพิษของรถจักรยานยนต์และรถยนต์ เรื่องความทนทานของล้อรถยนต์ รถพาณิชย์ และรถยนต์นั่ง ระบบแตร่ ระบบเบรก โดยรวม19 ผลิตภัณฑ์นี้เป็น 19 ผลิตภัณฑ์ที่ถูกหยิบยกออกมา เพื่อพิจารณาให้การยอมรับร่วมกันก่อนโดยมีระยะเวลาแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา
ในช่วงแรกมี 10 ผลิตภัณฑ์ที่จะทำการยอมรับร่วมกันปี 2565 ต่อมาปี 2566 อีก 6 ผลิตภัณฑ์ และเหลืออีก 3 ผลิตภัณฑ์ในปี 2567 เพื่อให้การพิจารณาในการยอมรับร่วมของ 19 มาตรฐานนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ประเทศสมาชิกได้มีการตกลงที่จะทำการทดลองที่เรียกว่าเป็น Trial run สำหรับ 4 มาตรฐานก่อน คือมาตรฐานระบบแตร่ มาตรฐานเสียงรถจักรยานยนต์ รถยนต์ มาตรฐานระบบเบรก โดย 4 มาตรฐานนี้จะถูกนำมาใช้พิจารณากระบวนการทดสอบรับรองแต่ละประเทศสมาชิก ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 7 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อที่ทางคณะกรรมการยานยนต์อาเซียนด้านผลิตภัณฑ์รถยนต์และชิ้นส่วน (ASEAN Automotive Committee – AAC) ได้ทำการพิจารณา โดยนำเอากระบวนการทดสอบรับรองของแต่ละประเทศสมาชิกมาเทียบเคียงกันดู โดยที่ประเทศไทยได้เข้าไปร่วมในกระบวนการ Trial run นี้ด้วย
ระยะที่ 2 เป็นการปรับมาตรฐานและวิธีการทดสอบรับรองของชิ้นส่วนยานยนต์ให้เป็นไปตามข้อตกลง 1958 Agreement ภายใต้ The United Nations Economic Commission for Europe (UNECE)
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า “จากการที่สถาบันยานยนต์ได้รับการเสนอชื่อเข้าไปเป็นหน่วยตรวจสอบรับรอง Technical service ของประเทศไทย สถาบันยานยนต์ต้องเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือทดสอบ ห้องปฏิบัติการ บุคลากรและผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถด้านการทดสอบ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการ เมื่อสถาบันยานยนต์ได้รับการยอมรับให้เป็นหน่วยตรวจสอบรับรองของประเทศไทย ผลการตรวจสอบรับรองของสถาบันยานยนต์จึงเป็นที่ยอมรับของประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยเช่นเดียวกัน และที่สำคัญยังช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการภายในประเทศ ช่วยอำนวยความสะดวกทำให้การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของประเทศไทย เพื่อไปจำหน่ายในประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นไปโดยสะดวกและไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำผลิตภัณฑ์ไปทำการตรวจซ้ำที่ประเทศปลายทาง ทั้งนี้ สถาบันยานยนต์พร้อมดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานของการทดสอบรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไทยในอนาคต”