29.3 C
Bangkok
Sunday, October 13, 2024
https://www.thaihonda.co.th/honda/
https://www.thaihonda.co.th/honda/
https://www.thaihonda.co.th/honda/
https://www.thaihonda.co.th/honda/
previous arrow
next arrow

TJRI เปิด Insight อนาคต ‘ยานยนต์ญี่ปุ่น’ แนะผลักดันความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ดึงลงทุนเพิ่ม

โครงการ TJRI (โครงการศึกษาวิจัยการลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย) ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนไทย-ญี่ปุ่น ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ Insight จากนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อกรณีที่บริษัทยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลายค่ายเริ่มถอนการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเกิดจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีนที่รุกทำการตลาดอย่างหนัก ผนวกกับยอดขายลดจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งนี้ค่ายอื่นๆ ปัจจุบันยังไม่ถอนลงทุน แต่อนาคตยังไม่อาจคาดการณ์ได้ ดังนั้น TJRI เห็นว่าควรเร่งหารือเพื่อรักษา Supply chain รถยนต์สันดาปที่ไทย-ญี่ปุ่นร่วมสร้างกว่า 60 ปี พร้อมแนะใช้สื่อภาษาญี่ปุ่น “THAIBIZ” เป็นช่องทางสื่อสาร ดูแลสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อนักลงทุนญี่ปุ่น หวังช่วยยกระดับความร่วมมือ ดึงญี่ปุ่นลงทุนประเทศไทยเพิ่ม

รัฐฯ ยกเลิกการส่งเสริม ECO Car ตอกย้ำผลงานซูซูกิ 

นายกันตธร วรรณวสุ ผู้ดำเนินโครงการ TJRI กล่าวว่า “ซูซูกิได้เข้ามาลงทุนในไทยจากการนโยบายส่งเสริมรถยนต์อีโคคาร์ในปี 2550 ซึ่งไทยคาดหวังว่าอีโคคาร์จะมีโอกาสพัฒนากลายมาเป็น ‘โปรดักส์แชมเปี้ยน’ ลำดับที่สองของประเทศรองจากรถกระบะ ซึ่งปัจจุบันนโยบายนี้จะไม่สำเร็จตามที่คาดไว้ ดังนั้นรัฐบาลจึงยกเลิกการให้ความสนับสนุน และทางซูซูกิเองก็ต้องยอมรับที่ไม่สามารถทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้ ดังนั้นการถอนการลงทุนออกจากประเทศไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” 

ยานยนต์ญี่ปุ่นเริ่มปิดโรงงาน ส่วนค่ายอื่นเบื้องต้นยังไปต่อโดยเน้นการผลิตเพื่อส่งออก

ขณะเดียวกัน นายกันตธร มองประเด็นการปิดโรงงานของค่ายญี่ปุ่นในอนาคตว่า ”ปัจจุบันโรงงานของค่ายซูซูกิและซูบารุเน้นการจำหน่ายในประเทศ โดยนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบและจำหน่ายในประเทศ (CKD) ต่างกับค่ายอื่นที่เน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นธุรกิจหลักด้วย จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการณ์สนับสนุนรถ EV ง่ายกว่าค่ายอื่นๆ ทั้งนี้ทั้งสองค่ายดังกล่าวมีจำนวนการผลิตที่น้อยจึงยังไม่กระทบต่ออัตราการผลิตยานยนต์โดยรวมของประเทศไทยมากนัก ทว่าการที่ซูบารุ ซูซูกิ รวมถึงฮอนด้าได้ถอนหรือลดการผลิตลงนั้น หากมองย้อนกลับมาจากอนาคตในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะพบว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นการจัดกำลังการผลิตของโรงงานต่างๆ ในโลกของตนได้อย่างรวดเร็วและชาญฉลาดแล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับพานาโซนิคที่ตัดสินใจปิดโรงงานเก่าในไทยและย้ายไลน์การผลิตไปควบรวมที่โรงงานใหม่ในเวียดนามแทน ถือเป็นวงจรของธุรกิจตามปกติที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับยานยนต์ญี่ปุ่นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มียอดขายสินค้าในประเทศไทยที่มีนัยยะสำคัญให้ตัดสินใจไปต่อ

อีกทั้งค่ายญี่ปุ่นอื่นๆ ที่เหลือนั้นเบื้องต้นในอีก 5-10 ปี คาดว่าจะไม่ไปจากไทยอย่างแน่นอน เพราะยังมียอดการผลิตเพื่อการส่งออกจึงไม่สามารถตัดสินใจได้เร็ว แต่ในอนาคตอินโดนีเซียหรือเวียดนามก็อาจมีขนาดตลาดในประเทศที่ขยายตัวขึ้นมาก และเพียงพอที่จะทำให้ค่ายญี่ปุ่นตัดสินใจย้ายออกจากประเทศไทยในที่สุด”

เกรงสงครามราคา EV ทำธุรกิจดีลเลอร์ไม่ยั่งยืน

สิ่งที่ทำให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์มีกำไรคือ การที่ผู้ผลิตช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้มีลูกค้ามาใช้บริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การซื้อซ้ำในอนาคต ทว่าสิ่งที่น่ากังวลคือ “สงครามราคา” ซึ่งค่ายจีนกำลังลดราคาอย่างหนักในปัจจุบัน ส่งผลให้คนทำธุรกิจดีลเลอร์อยู่รอดได้อย่างไม่ยั่งยืน เนื่องจากการลดราคาอย่างหนัก ทำให้ตลาดรถยนต์มือสองราคาตกหนักตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อผู้บริโภคไม่สามารถขายรถคันเก่าเพื่อเทิร์นไปซื้อรถคันใหม่ได้ง่ายมากนักจึงกระทบต่อการซื้อซ้ำในอนาคตไปด้วย ดังนั้นสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ธุรกิจดีลเลอร์มีแนวโน้มการขาดทุนในระยะยาว ซึ่งแตกต่างกับแนวคิดที่ค่ายญี่ปุ่นทำมาตลอดหลายสิบปี เนื่องจากญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับเจ้าของธุรกิจดีลเลอร์ทั่วประเทศเป็นอย่างมาก

ญี่ปุ่นย้ำไม่ปฏิเสธ EV ขอบคุณไทยชงส่งเสริม Hybrid ดีใจผลตอบรับมอเตอร์โชว์ดี เล็งนำเข้า-ผลิตเพิ่ม

จากการรวบรวมข้อมูลในกรณีที่บอร์ดอีวีออกมาตรการสนับสนุนสำหรับรถยนต์ Hybrid เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น พบว่าค่ายญี่ปุ่นหลายรายได้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลไทยที่คำนึงถึง Supply chain รถยนต์สันดาปที่ไทยและญี่ปุ่นร่วมกันสร้างมานานกว่า 60 ปี อีกทั้งญี่ปุ่นเองไม่ได้ปฏิเสธรถ EV แต่อย่างใด ทว่าเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนั้นต้องใช้เวลาที่เหมาะสม โดยงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา หลายค่ายดีใจมากที่มีโอกาสนำเสนอรถ Hybrid กับผู้บริโภคไทย เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในอนาคตสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งได้รับกระแสตอบรับรถ Hybrid ดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นบางค่ายจึงมีแผนที่จะนำเข้าหรือผลิตรถ Hybrid ในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายในประเทศในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

Supply chain ไทย-ญี่ปุ่นยังสำคัญ เทรนด์ค่ายญี่ปุ่นดันคนไทยขึ้นเป็นผู้บริหารฯ

นายกันตธรวิเคราะห์ว่า “สาเหตุที่ยานยนต์ญี่ปุ่นเริ่มถอนการลงทุนในประเทศไทยมีหลากหลายปัจจัย เช่น ค่ายญี่ปุ่นปรับตัวต่อการเข้ามาของ EV ได้ช้า ยอดขายรถยนต์ในประเทศลดลง ไปจนถึงการยกเลิกการสนับสนุนนโยบายเก่า และยกระดับการสนับสนุนรถ EV ซึ่งเอื้อต่อค่ายจีนมากกว่าก็จริง ทว่า Supply chain ที่ไทย-ญี่ปุ่นร่วมกันสร้างนั้นมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งสำคัญต่อไทยอย่างยิ่งจึงควรมองเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาและควรร่วมคิดแก้ไขปัญหานี้กับนักลงทุนญี่ปุ่นโดยเร็ว

นอกจากนี้หลายค่ายญี่ปุ่นกำลังเน้นเรื่องการพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” เป็นอย่างมาก ซึ่งหลายค่ายเน้นพัฒนาพนักงานไทยโดยสนับสนุนการไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น ผลักดันคนไทยให้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารขององค์กร รวมถึงให้คนไทยมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก เพื่อการ Localization วัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่นให้เหมาะกับไทยและสอดคล้องกับเทรนด์ของโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีอย่างมาก”

TJRI เปิดสื่อ “THAIBIZ” หวังทำหน้าที่ IR ต่อนักลงทุนญี่ปุ่น ดึงญี่ปุ่นลงทุนหนุนเศรษฐกิจไทย

โครงการ TJRI พยายามใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจญี่ปุ่นของตัวเอง เพื่อช่วยแก้ปัญหาของประเทศด้วยเช่นกัน เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการส่งพนักงานคนญี่ปุ่นไปประจำยังต่างประเทศ โดยมีการโยกย้ายประเทศทุกๆ 3-5 ปี ทำให้ผู้บริหารญี่ปุ่นขาดความเข้าใจบริบทการทำธุรกิจและการบริหารงาน โครงการฯ จึงอยากช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจธุรกิจไทย รวมถึงวิธีการทำงานร่วมกับคนไทยโดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงได้เปิดตัวสื่อ “THAIBIZ” เมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอเนื้อหาในแวดวงธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น ประกอบด้วยเว็บไซต์ จดหมายข่าวประจำวันที่ส่งให้แก่สมาชิกทางอีเมล และนิตยสารรายเดือน โดยปัจจุบันเครือข่ายสมาชิก THAIBIZ มีทั้งนักธุรกิจที่อาศัยอยู่ในไทยและญี่ปุ่นมากกว่า 12,000 คน จึงอยากให้ภาครัฐและเอกชนไทยใช้สื่อภาษาญี่ปุ่น THAIBIZ เสมือนนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) เป็นช่องทางการสื่อสารโดยตรงต่อนักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่มเติม

สื่อ THAI BIZ เกิดจากการควบรวมเว็บไซต์ข่าวธุรกิจ TJRI และสื่อธุรกิจภาษาญี่ปุ่น “ArayZ” ซึ่งได้ดำเนินกิจการในไทยมายาวนานกว่า 10 ปี โดยนิตยสาร THAIBIZ ได้เปิดตัวฉบับแรกไปในเดือนเมษายน 2567 ด้วยบทสัมภาษณ์พิเศษจาก CEO ชั้นนำต่างๆ เช่น บริษัท DENSO ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับโลก, Ajinomoto และ Marubeni ซึ่งต่างเป็นกรรมการของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) รวมทั้งผู้บริหารบริษัทไทย เช่น คุณ    สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย บริษัทขอนแก่นพัฒนาเมืองที่มาแนะนำเรื่อง Smart City, คุณรวิศ หาญอุตสาหะ บริษัทศรีจันทร์สหโอสถ ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดของนักธุรกิจไทยรุ่นใหม่, คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน จาก เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป เกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจร้านอาหารในไทย เป็นต้น โดยเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นมีความเข้าใจต่อผู้ประกอบการไทยมากขึ้น 

“ความตั้งใจที่จะให้ญี่ปุ่นยกระดับการลงทุนนั้น รวมถึงการสร้างความร่วมมือและนวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมกับบริษัทไทยนั้น เป็นวัตถุประสงค์ที่โครงการ TJRI ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง THAIBIZ มุ่งมั่นเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ คอยดูแลนักลงทุนชาวญี่ปุ่นทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเรามีเครือข่ายนักธุรกิจที่อาศัยอยู่ทั้งไทยและญี่ปุ่นซึ่งมีความสนใจธุรกิจของบริษัทไทยอย่างมาก จึงเป็นช่องทางที่ตอบโจทย์สำหรับบริษัทไทยที่อยากเข้าถึงนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น” นายกันตธรกล่าวปิดท้าย

TJRI reveals Insight on the future of Japanese automobiles Recommends Promoting Thai-Japanese Cooperation to Attract More Investment

TJRI Project (Research Project on Japanese Investment in Thailand) Thai-Japanese investment experts have collected and analyzed insights from Japanese investors regarding the case where several Japanese automotive companies have continuously withdrawn their investments in Thailand. This is expected to be due to the entry of electric vehicles ( EV) from China, which are aggressively marketing, coupled with sales declining due to the economic slowdown. Currently, other companies have not withdrawn their investments, but the future is still uncertain. Therefore, TJRI believes that discussions should be accelerated to maintain the supply chain of combustion engine cars that Thailand and Japan have jointly built for over 60 years. It is also recommended to use the Japanese media “THAIBIZ” as a communication channel to take care of and create correct understanding among Japanese investors, hoping to help elevate cooperation and attract more Japanese investment in Thailand.

The government cancels the promotion of ECO Car, emphasizing Suzuki’s performance. Mr. Kantatorn Wanwasu, TJRI Project Manager Said that “Suzuki has invested in Thailand from the policy of promoting eco-cars in 2007, which Thailand expects that eco-cars will have the opportunity to develop into the country’s second ‘ product champion ‘ after pickup trucks. Currently, this policy will not be successful as expected. Therefore, the government has cancelled the support and Suzuki itself must accept that it cannot produce results that are visible to Thai consumers as planned. Therefore, withdrawing investment from Thailand is inevitable.

Japanese automobile manufacturers begin to close factories, while other manufacturers initially continue with a focus on production for export.

Meanwhile, Mr. Kantatorn sees the issue of the closure of Japanese factories in the future as ” Currently, Suzuki and Subaru factories focus on domestic sales by importing parts for assembly and distribution in the country ( CKD), which is different from other brands that focus on production for export as their main business. Therefore, they are more easily affected by the EV support measures than other brands. Both brands have a small production volume, so it has not affected the overall automotive production rate of Thailand much. However, the fact that Subaru, Suzuki, and Honda have withdrawn or reduced production, if we look back at the future in the next 10-20 years, we will find that this decision may be a quick and intelligent way to organize the production capacity of their factories around the world. This incident happened to Panasonic, which decided to close the old factory in Thailand and move the production line to merge with a new factory in Vietnam instead. It is considered a normal business cycle that has the opportunity to happen to Japanese vehicles in the future inevitably if there are no significant sales in Thailand to decide to continue.

In addition, other remaining Japanese brands are initially expected not to leave Thailand in the next 5-10 years because they still have production for export, so they cannot make a decision quickly. However, in the future, Indonesia or Vietnam may have a much larger domestic market, which is enough to make Japanese brands decide to move out of Thailand in the end. ”

Fear that the EV price war will make dealer business unsustainable

What makes the car dealer business profitable is that the manufacturer helps build credibility, resulting in customers continuously using after-sales services, leading to repeat purchases in the future. However, the worrying thing is the “price war”, in which Chinese brands are currently heavily reducing prices, resulting in the dealer business being unable to survive sustainably. Because the heavy price reductions cause the used car market to fall in price as well. Therefore, when consumers cannot easily sell their old cars to trade in for new cars, it affects repeat purchases in the future. Therefore, these things may cause the dealer business to tend to lose money in the long term, which is different from the concept that Japanese brands have been doing for decades, because Japan places great importance on dealer business owners nationwide.

Japan insists it will not reject EVs, thanks Thailand for promoting hybrids , delighted with good response to Motor Show, aims to increase imports and production

From the data collection in the case of the EV board issuing support measures for hybrid cars in July 2024 , it was found that many Japanese companies expressed their gratitude to the Thai government for considering the combustion engine car supply chain that Thailand and Japan have jointly built for over 60 years. In addition, Japan itself did not reject EV cars in any way. However, it saw that every change requires the right amount of time. At the recent motor show, many companies were very happy to have the opportunity to present hybrid cars to Thai consumers as another option in the future for Thai consumers, which received a very good response to hybrid cars. Therefore, some companies have plans to import or produce hybrid cars in Thailand for sale in the country in the near future for sure.

Thai-Japanese supply chain is still important, Japanese brands trend to push Thais to become executives

Mr. Kantatorn analyzed that “There are many factors that cause Japanese automobiles to withdraw their investment in Thailand, such as Japanese companies being slow to adapt to the arrival of EVs , declining domestic car sales, and even the cancellation of old policies and upgrading support for EVs, which is more favorable to Chinese companies. However, the supply chain that Thailand and Japan have jointly built is very large, which is very important to Thailand. Therefore, this should be viewed as a case study and Japanese investors should jointly think about solving this problem as soon as possible.

In addition, many Japanese companies are focusing on developing “ human resources ”. Many companies focus on developing Thai employees by supporting internships in Japan, pushing Thais to become executives of the organization, and allowing Thais to participate in product research and development to localize Japanese corporate culture to be more suitable for Thailand and in line with global trends, which is a very good trend.

TJRI launches “THAIBIZ” media, aims to act as IR for Japanese investors, attracting Japanese investment to support Thai economy

The TJRI project is trying to use its strength in Japanese business expertise to help solve the country’s problems as well. Since most Japanese companies have structural problems in the system of sending Japanese employees overseas, with relocation every 3-5 years, Japanese executives lack understanding of the business context and management. The project would like to help them understand Thai businesses and how to work with Thais as soon as possible. Therefore, the “THAIBIZ” media was launched in April 2024 to present content in the Thai-Japanese business circle, consisting of a website, daily newsletters sent to members via email, and monthly magazines. Currently, the THAIBIZ member network consists of more than 12,000 businessmen living in Thailand and Japan. Therefore, we would like the Thai government and private sectors to use the Japanese media THAIBIZ as an investor relations (IR) channel to directly communicate with Japanese investors .

THAI BIZ media was created by merging the business news website TJRI and the Japanese business media “ArayZ” , which have been operating in Thailand for over 10 years. THAIBIZ magazine launched its first issue in April 2024 with special interviews with leading CEOs such as DENSO, a world-class automotive parts manufacturer, Ajinomoto and Marubeni, who are both directors of the Japan Chamber of Commerce, Bangkok ( JCC) , as well as executives of Thai companies such as Mr. Suradet Taweesangsakulthai, Khon Kaen City Development Company, who introduced Smart City , Mr. Rawit Han-Utsaha, Srichand United Dispensary, who is a thought leader for new-generation Thai businessmen, and Mr. Rit Thirakomen from MK Restaurant Group, who talked about the concept of restaurant businesses in Thailand, etc., in order for Japanese people to better understand Thai entrepreneurs.

“The intention to have Japan upgrade its investment, including creating new collaborations and innovations with Thai companies, is an objective that the TJRI project has continuously promoted. THAIBIZ is committed to disseminating useful information and taking care of Japanese investors from both the public and private sectors. We have a network of businessmen living in both Thailand and Japan who are very interested in Thai companies’ businesses. Therefore, it is a channel that meets the needs of Thai companies that want to reach Japanese businessmen, ” concluded Mr. Kantatorn.

For Thai organizations that want to create awareness among Japanese investors, you can contact THAIBIZ for public relations at Tel. 02-392-3288 or e-mail info@th-biz.com.

Related Articles

Stay Connected

269FansLike
2,760SubscribersSubscribe
- Advertisement -spot_img

Latest Articles